ปลายสัปดาห์แรกของปีใหม่ ผมมีธุรกรรมทางการเงินกับสมาคมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมแห่งหนึ่ง จึงต้องไปพบปะกับเหรัญญิกของสมาคมนี้ ท่านเป็นสุภาพสตรีในวัยช่วงเกษียณอายุ เมื่อพบกันผมทักทายไปว่า “สบายดีไหมครับ?” ท่านตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างอ้อแอ้ว่า “ป่วยเป็นโรคพาร์คินสันค่ะ!”
รูปที่ 2
โรคพาร์คินสัน (Parkinson’s disease) ในมุมมองของการแพทย์กระแสหลัก เป็นโรคที่เกิดจากการที่สมองขาดสารสื่อประสาทชื่อโดปามีน (Dopamine)เนื่องจากเซลล์สมองในตำแหน่ง ซับสแตนเชีย ไนกรา(รูปที่ 1) ซึ่งทำหน้าที่ผลิตสารนี้เกิดการเสื่อมหรือตายไป เมื่อระดับโดปามีนในสมองเสื่อมถอยลงมากกว่าร้อยละ 80อาการของโรคพาร์คินสันก็จะเกิดขึ้น(รูปที่ 2)ดังนั้น การที่เซลล์ประสาทในตำแหน่งดังกล่าวมีการตายไปนั้น ถือเป็นลักษณะเฉพาะของโรคนี้ ถึงแม้สาเหตุของโรคพาร์คินสันยังไม่ทราบแน่ชัดแต่ในผู้ป่วยส่วนน้อยอาจพบว่าพวกเขาได้รับพิษจากธาตุโลหะชนิดหนึ่งคือ แมงกานีส เข้าไปทำลายเซลล์สมองในตำแหน่งดังกล่าวนั่นเอง
วงการแพทย์ทราบมานานแล้วว่า ธาตุโลหะเป็นสาเหตุของโรคร้ายแรงต่างๆ มากมายซึ่งเกิดจากการสะสมของธาตุโลหะบางชนิดในร่างกาย โดยได้รับผ่านทางอาหาร น้ำ การฝังวัสดุทางการแพทย์ในร่างกาย วัสดุอุดฟันอะมัลกัม (ซึ่งมีส่วนประกอบของเงิน ทองแดง ดีบุก และสังกะสีในโลหะปรอท)สารเคมีในสิ่งแวดล้อม หรือแหล่งอื่นๆ ทั้งนี้ธาตุโลหะที่ถูกจับตาและนักวิชาการหลายประเทศกำลังศึกษาด้านพิษวิทยา ได้แก่ ตะกั่ว ปรอทแคดเมียม โครเมียม ดีบุก สารหนู ทองแดง นิกเกิล สังกะสี เหล็ก อลูมิเนียม และแมงกานีส ธาตุโลหะเหล่านี้มีความเป็นพิษต่อสิ่งมีชีวิต ไม่สลายตัวในกระบวนการทางธรรมชาติ มีความเสถียร และสามารถสะสมอยู่ในอากาศ ดินและแหล่งน้ำ รวมถึงสะสมอยู่ในสิ่งมีชีวิตได้อีกด้วย
นพ.ฉัตรชัย ศรีบัณฑิตระบุว่า มีกลไกถึง 12 แบบที่ธาตุโลหะมีความเป็นพิษต่อสิ่งมีชีวิต1ซึ่งในที่นี้จะขอยกตัวอย่างมาหนึ่งกลไกคือโลหะหนักยับยั้งการสร้างสารออกฤทธิ์คลายตัวหลอดเลือดตามธรรมชาติที่เรียกว่า ไนตริก ออกไซด์ (Nitric Oxide) จนทำให้ผนังหลอดเลือดขาดความยืดหยุ่นและหดตัว กลายเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อเส้นเลือดตีบตันหรือแตก และทำให้ความสามารถในการนำสารอาหารไปหล่อเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ในร่างกายน้อยลง ส่งผลให้เกิดความเสื่อมสภาพของอวัยวะในร่างกายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเกี่ยวข้องกับโรคอัลไซเมอร์ โรคพาร์กินสัน ออทิสติก โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคปลายประสาทเสื่อม โรคไตเสื่อม ตาเสื่อม ภูมิแพ้ ภูมิไวเกินและโรคเรื้อรังต่างๆ การรักษาภาวะพิษจากธาตุโลหะ การแพทย์แผนหลักอาจใช้สารคีเลต (Chelating agents) เช่น ซัคไซเมอร์ (Succimer) ซึ่งถูกดูดซึมได้อย่างรวดเร็วทางกระเพาะอาหารหรือให้สาร EDTA (Ethyline Diamine Tetra Acetie Acid) ทางหลอดเลือดเพื่อไปจับกับโลหะหนักและขับออกทางปัสสาวะ
แต่ในมุมมองของแพทย์แผนจีนซึ่งผมเขียนเล่าไว้ในบทความตอนที่ 2 ความเจ็บป่วยของคนเราล้วนเป็นผลของการต่อสู้ระหว่าง “เจินชี่” (พลังแท้ในร่างกาย) กับ “เสียชี่” (พลังก่อโรค) ถ้า “เจินชี่” พร่องหรืออ่อนแอ ก็จะเปิดโอกาสให้ “เสียชี่” รุกรานเข้ามาจนทำให้ “อิน-หยาง” ของร่างกายเสียสมดุล เกิดการอุดตันของ “จิงลั่ว” (เส้นลมปราณ) ทำให้ภูมิคุ้มกันโรคเสื่อมทรามลง อวัยวะต่างๆ ทำงานผิดปกติผลคือเกิดโรคในคนผู้นั้น แต่ถ้าคนเราฝึกชี่กงทุกวันๆ ละประมาณ 30 นาที เพื่อบ่มเพาะ “เจินชี่” และสลาย “เสียชี่” ซึ่งเมื่อขยันฝึกอย่างต่อเนื่องโดยไม่ละทิ้งกลางคัน อาการป่วยก็จะค่อยๆ ทุเลา และหายขาดไปในที่สุด
ถึงตรงนี้อาจมีคำถามว่า การฝึกชี่กงช่วยเยียวยาภาวะพิษจากธาตุโลหะได้จริงหรือ? คำตอบคือ น่าจะช่วยได้ เพราะจากการวิจัยของ Shengxiang Tang และคณะ2 ซึ่งศึกษาธาตุโลหะ 5 ชนิดได้แก่ตะกั่วทองแดงโครเมียม สังกะสีและแคดเมียม ที่ถูกขับออกมาพร้อมกับเหงื่อจากการออกกำลังกาย ผลจากการศึกษายืนยันว่า ธาตุโลหะดังกล่าวซึ่งสะสมอยู่ในร่างกายมนุษย์ถูกขับออกมาทางเหงื่อได้เป็นอย่างดี และเสนอแนะว่า ผู้คนที่มีความเสี่ยงต่อการรับธาตุโลหะเข้าสู่ร่างกายควรใช้วิธีการออกกำลังกายจนเหงื่อออกเพื่อขับพวกมัน นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยอื่นๆ ที่สนับสนุนการขับธาตุโลหะออกจากร่างกายทางเหงื่อ อาทิเช่น Stephen J. Genuis และคณะ3 ซึ่งใช้วิธีขับเหงื่อด้วยการอบไอน้ำและอบรังสีอินฟราเรดก็สามารถกำจัดโครเมียม ทองแดง แมงกานิสนิกเกิลตะกั่ว สังกะสีฯลฯ ออกจากร่างกายอย่างได้ผลดีเช่นกัน
ขอวกกลับมาที่กรณีเหรัญญิกของสมาคมฯ เนื่องจากท่านไม่เคยฝึกชี่กงมาก่อน การที่จะถ่ายทอดวิชาชี่กงที่ช่วยให้เกิดการหลั่งเหงื่อได้มากๆ อย่างเช่น “ท่ายืนอรหันต์” ในขณะเดี๋ยวนั้นย่อมเป็นการเหลือวิสัย ดังนั้น ผมจึงทำได้เพียงแค่กล่าวแนะนำท่านไปว่า “ออกกำลังกายให้เหงื่อออกนะครับ เพราะสารพิษที่กำลังทำร้ายสมองจะถูกขับออกมาพร้อมกับเหงื่อครับ” โดยตั้งความหวังไว้ในใจว่า เมื่อท่านปฏิบัติตามที่แนะนำนี้ไปสักระยะหนึ่ง อาการของโรคน่าจะทุเลาขึ้นไม่มากก็น้อย ก็จะเป็นโอกาสอันดีที่ผมจะสอน “ท่ายืนอรหันต์” ให้แก่ท่านในโอกาสหน้า
สำหรับศิษย์อาจารย์หยางทุกท่านซึ่งได้รับการถ่ายทอด “ท่ายืนอรหันต์” ตั้งแต่ชั่วโมงแรกของหลักสูตรชี่กงกวงอิมจื้อไจ้กงขั้นที่ 1 หลังจากที่อ่านบทความนี้แล้ว ก็คงจะตื่นตัวที่จะหมั่นฝึกท่ายืนพื้นฐานนี้เป็นประจำ เพื่อให้เกิดการหลั่งเหงื่อขับพิษนั่นเอง ซึ่งพิษที่ว่านี้ นอกจากจะหมายถึงธาตุโลหะต่างๆ ที่กล่าวมาแล้วข้างต้น แต่ยังรวมถึงของเสียอื่นๆ ในร่างกาย ซึ่งผมขอยกยอดไปเล่าต่อในบทความตอนที่ 15 ครับ
ท้ายสุดนี้ เป็นคำอวยพรปีใหม่ 2562 ด้วยโคลงสี่สุภาพดังนี้ครับ
ลาทีปีเก่าแล้ว ..................ปลายทาง
มวลศิษย์อาจารย์หยาง .......พร้อมหน้า
ปีใหม่ฤกษ์สะอาง ............... ปกแผ่ ผองเรา
บุญเปี่ยมกันทั่วหน้า ..............ผ่านพ้น โพยภัย
ยืนอรหันต์ อย่ารั้ง ..............รอนาน
เพียรหมั่น ดำเนินการ ....... ค่ำเช้า
อายุมั่น สืบสาน ................ เสริมส่ง
จิงชี่เสินเจิดจ้า ............. ชั่วฟ้า ดินสลายฯ
อ้างอิง
1 http://www.absolute-health.org/thai/article-th-055.htm
2 https://www.scirp.org/journal/PaperInformation.aspx?PaperID=63503
3 https://www.academia.edu/30142616/Blood_Urine_and_Sweat_BUS_Study_Monitoring_and_ Elimination_of_Bioaccumulated_Toxic_Elements
ดร.สมพงษ์ หาญวจนวงษ์ 29 มกราคม 2562
--------------------------------- สอบถามหรือสมัครเรียนชี่กง. โทร. 026370121, 0863785331 แอดไลน์ qg_yang หรือ qigong_yang